สวัสดีทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามานะครับ ก็ขอแนะตัวเล็กน้อย เผื่อใครอยากรู้ที่มาครับ อย่างแรกก็ขอชี้แจงชื่อ Blog หน่อยนะครับ ที่ใช้ชื่อว่า อัศวินนักประดิษฐ์ ก็มีที่มาจากชื่อภาษาอังกฤษคือ DIY Knight ครับ  DIY ก็ Do it yourself  หรือทำด้วยตัวเอง ก็ใช้คำว่านักประดิษฐ์ก็พอไปด้วยกันได้ ส่วน Knight ก็คือชื่อลูกชายครับ พอดีมันแปลว่า อัศวิน ก็เลยเอามาตั้งชื่อ Blog เป็นภาษาไทยว่า อัศวินนักประดิษฐ์ครับ ที่เอาชื่อลูกมาตั้งก็เพราะหวังให้เค้ารู้จักและปลูกฝังทักษะในเรื่องการประดิษฐ์ และเพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ครับ

ผมทำ web นี้ขึ้นมา วัตถุประสงค์หลักเลยก็เพื่อกันลูกชายให้ออกห่างจากเกมส์ Computer แม้ว่าตอนนี้ยังไม่สำเร็จเสียทีเดียวเพราะว่าเราจะต้องคอยคุมเขาตลอดเวลาที่ทำงานประดิษฐ์ แต่พอช่วงไหนที่ไม่ได้ทำก็แอบไปเล่นจนต้องคุมเข้มเรื่องเวลากันเลยทีเดียว

Knight
อีกสักพักคงจะฝึกให้สามารถเตรียมข้อมูลและ post เองได้ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะได้รับประโยชน์ในการทำ web นี้ครับ อีกวัตถุประสงค์หนึ่งก็เพื่อให้ผู้ปกครอง หรือ แม้แต่เด็กๆเอง เข้ามาอ่านเพื่อเอาข้อมูลไปทำโครงงานส่งครูต่อ เพราะหลาย post ในนี้ คือโครงงานที่ต้องทำส่งครูอยู่แล้ว และใช้ส่งจริงๆด้วย ดังนั้นก็หว้งเป็นอย่างย่ิงว่า เด็กๆและผู้ปกครองท่านอื่นๆ จะได้ประโยชน์ตรงๆเลยนะครับ

น้องไนท์  ( Knight ) ซึ่งตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่ชั้นประถม ดังนั้นจึงเหมาะที่เราจะปูพื้นฐานและทักษะที่คิดว่าจะได้ใช้ในอนาคตให้ เราชอบเรื่องงานประดิษฐ์ งานฝีมือ และการทดลองจึงจะได้เห็นว่า post ของ webนี้ก็วนๆเวียนๆ ประมาณนี้นะครับ มีทั้งนำเสนองานของคนอื่นๆเป็นไอเดีย และบางงานเราก็ลงมือทำเองครับ

ผมว่าเด็กเรา (และผู้ใหญ่) บางครั้งเสพข้อมูลมากไป แต่ไม่ได้นำเอามาปฏิบัติจริง ตรงนี้ผมว่าทักษะเราจะหดหายไปได้ และที่สำคัญคือการปฏิบัติจริงจะทำให้เรารู้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ เพราะบางครั้งไปอ่านข้อมูลของคนอื่นๆที่เขาทำไว้แล้วอย่างเรียบหรู เอามาทำจริง เกิดปัญหา โน่น นี่ นั่น  ขึ้นมากมาย ตรงนี้ผมว่าเป็นข้อดีสำหรับเด็กๆในการฝีกทักษะการแก้ปัญหาจากการทดลองทำจริงไปด้วยนะครับ ของบางอย่างดูเหมือนง่าย แต่ถ้าไม่ทดลองทำจริง เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในแต่ละขั้นตอนจะเกิดอะไรขึ้น

ดังนั้นจึงอยากจะเชิญชวนทั้งผู้ปกครองและเด็กๆ ตลอดจนผู้ที่สนใจทั่วไป ให้นำความรู้ไปลองปฏิบัติจริงดูนะครับ แล้วจะพบปัญหาแน่นอน .. แต่มันก็ช่วยให้เรามีทักษะในการแก้ปัญหาเพิ่มมากขึ้นนะครับ

ทิ้งท้ายเรื่องปัญหาเด็กติดเกมส์นะครับ ผมว่าในอนาคตเด็กๆของเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากมากขึ้น เพราะเขาไม่มีทักษะในการเล่นโดยใช้ร่างกายเลย  อีกทั้งค่านิยมในระบบการศึกษาของเราก็ยัดเยียดการเรียนพิเศษให้กับเด็กเสียจนไม่เป็นอันต้องทำอะไรเลย เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปเรียนพิเศษทั้งวัน บางทีเรียนเสริมเย็นอีก ... มีเวลาว่างก็เห็นนั่งเขี่ยหน้าจอกัน ... เราแน่ใจหรือว่า เรากำลังฝึกฝนเขาไปในทางที่ถูกต้องแล้ว

ที่สำคัญอุปกรณ์ IT ทั้งหลาย ผมว่ามันกำลังบั่นทอนสุขภาพเราลงไปเรื่อยๆนะครับ ผมรู้เพราะผมทำงานกับ computer มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยและอยู่กับมันมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมงมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เจอทั้ง office syndrome และ เกิดปัญหาสายตาเร็วกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน

แล้วคิดดูเด็กสมัยนี้นะครับ เล่น computer กันตั้งแต่ประถม บางคนก็ต้องใส่แว่นเร็วกว่าวัยอันควร เด็กๆเริ่มเกิดการเหนื่อยล้าจากการเรียนที่มากไป เดี๋ยวอีกสักหน่อยก็จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพตามมา ทั้งอาการปวดหัว การปวดกล้ามเนื้อเนื่องจากการนั่งนานไป อาการปวดข้อมือ ที่สำคัญเมื่อโรคอ้วนมาเยือน มันพาโรคอื่นๆมาด้วยนะครับ

บ้านเราเรียนหนักแต่ไม่ค่อยเห็นคนเก่งเฉพาะด้านมากเท่าต่างประเทศที่เขาเรียนน้อยกว่า แต่ทำกิจกรรมอย่างเป็นจริงเป็นจัง จึงอยากให้ผู้ปกครองลองพิจารณาดูนะครับ ก่อนที่เราจะเอ่ยคำว่า "รู้อย่างนี้ ฉันจะ นั่น นี่ โน่น ตั้งแต่ตอนนั้น" เวลามันย้อนไม่ได้นะครับ ....